เคยสังเกตไหมว่า รอบๆ บ้านของคุณตอนนี้ เทียบกับเมื่อ 5 ปีก่อน และย้อนไป 10 ปีที่แล้ว ต่างจากปัจจุบันอย่างไร แน่นอนว่ามันต้องต่าง มันเรื่องธรรมดา และที่มีเพิ่มมากขึ้น คือ “คนพูด” กันมากขึ้น อย่างที่เห็นและได้ยินกัน ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง
หลายคนเข้าใจว่า “คนพูด” หมายถึง คนที่พูดคุยกัน บ้างพูดคนเดียว บ้างคุยกันเป็นกลุ่ม เราพูดคุยกันมากขึ้น พูดกันด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย (หรือตามสมัย) ยิ่งใช้ ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น (ตามโฆษณา) จริงหรือ? การคิดและเข้าใจอย่างนี้ก็ใช่อย่างหนึ่ง…
เราสามารถมองเห็น “คนพูด” ได้ชัดเจนและมากกว่าได้ตลอด 2 ข้างทาง ไม่ว่าจะบนรถ, ท้ายรถ, เก้าอี้, เสาไฟฟ้า, เกาะกลางถนน, กระจก, ประตูหรือแม้แต่ขอบกางเกงใน นั่นก็คือ ป้ายร้าน, ป้ายโฆษณาต่างๆ, ข้อความ, สติ๊กเกอร์, ใบปลิว, BLOG, Social Media และอื่นๆ สุดแต่เราจะเรียกชื่อ สิ่งเหล่านี้ คือ สิ่งที่แสดงว่า “คนพูด” กันมากขึ้น พูดตลอดเวลา และพูดคนเดียว โดยไม่สนใจฟังใครทั้งสิ้น บางครั้งพูดแบบคนหน้าใหญ่ จนบดบังความสวยงามของดวงอาทิตย์และ “ท้องฟ้า” จนกว่าเราจะหลับตาลงนั่นแหละ จึงจะหยุดพูด และก็มีความพยายามยกระดับคนชอบพูดเหล่านี้ว่า “แบรนด์” และทำให้มีราคาขึ้นมา
การเป็น “คนพูด” มากแบบย่อหน้าก่อนนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณภาพ มีคุณค่าต่อตนเองและสังคมจริงหรือ? เรากำลังเชื่อว่าตัวอักษรไม่เกิน 10 ตัว อ่านออกเสียงได้ไม่น่าเกิน 5 พยางค์ มีราคานับล้าน…
ย้อนกลับไปข้างต้น โลกอินเตอร์เน็ต ก็แสดงให้เห็นชัดว่า เราพูดกันมากขึ้น เราสามารถพูดคุยกันข้ามซีกโลกได้เพียงปลายนิ้ว บางคนก็คุยกันแบบนี้ แม้ห่างกันพียงหนึ่งช่วงแขน
ในยุคนี้ เราจึงพบเห็น “คนพูด” โดยไม่ใช้ปาก…
นี่คงเป็นเรื่องดี ที่โลกเราจะสงบลง เกิดสันตินานขึ้น ไม่ทะเลาะกันเสียงดังให้ชาวบ้านเขารำคาญ เข้าใจกันมากขึ้นด้วยปลายนิ้ว…จริงหรือ?
ท้ายนี้ ผู้เขียน ก็เป็น “คนพูด” คนหนึ่งที่สำนึกได้และพยายามพูดให้น้อยลง และขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกครั้งที่ท่านอ่าน และจะเป็นการดีหากท่านไม่เพียงแต่อ่าน…สวัสดี
โบราณว่า…ปากเป็นเอก
ปัจจุบันว่า…นิ้วเป็นเหตุ (ไม่ใช่สิ ปลายนิ้วเป็นปลายเหตุ ต่างหาก)
นี่ คือ “คำ” ที่เรียงร้อยจากความคิดปรุงแต่ง วรรณพุทธ์ เพียง “คำ” คำหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น